ศึกษาประวัติความหมายประเภทและพัฒนาการของคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนาและปกรณ์วิเสส
วรรณกรรมบาลีในประเทศไทย และคุณค่าของวรรณกรรมบาลีต่อสังคมไทย
ศึกษาความหมายและขอบข่ายของศึกษาศาสตร์
คำสอนในพระไตรปิฏกที่เกี่ยวกับการศึกษา
เน้นเป้าหมายของการศึกษาตามหลักไตรสิกขา กระบวนการจัดการศึกษาแบบกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า คุณธรรมและจริยธรรมของครู
เพื่อให้นิสิตรู้ชีวประวัติ รู้จักผลงาน ประวัติการแต่งและการแปลคัมภีร์ของนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน รู้จักนำหลักปรัชญาการสอนของท่านเหล่านั้นมาใช้สามารถถ่ายทอด แนวคิด และความศรัทธาของท่านเหล่านั้น ที่อุทิศต่อพระพุทธศาสนาได้
เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจในหลักการและวิธีปฏิบัติกรรมฐานตามแนว เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในมหาสติปัฏฐานสูตร วิธีการปรับอินทรีย์ ๕ หลักธรรมที่ควรรู้ได้แก่ วิปัลลาส ๓ อภิญญา ๖ วิสุทธิ ๗ วิชชา ๘
ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยการเดินจงกรม ๓ ระยะ นั่งกำหนด ๓ ระยะ ส่งและสอบอารมณ์เพื่อให้นิสิตทราบอักษรต่าง ๆ ที่ใช้จารึกพระไตรปิฎก ได้แก่อักษรเทวนาครี สิงหล ขอม พม่า มอญ
อักษรธรรมล้านนา และอักษรโรมัน ให้สามารถอ่านออก เขียนได้
ศึกษาวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน สภาวธรรมที่เกิดดับในขณะปฏิบัติฯ วิธีแก้สภาวธรรมของสํานักปฏิบัติ ธรรมในสมัยปัจจุบัน เปรียบเทียบกับมหาสติปัฏฐานสูตร ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยการเดินจงกรม และ นั่งกําหนด ส่งและสอบอารมณ์
ศึกษาความหมายและความสำคัญของพระไตรปิฎก ความเป็นมา การจำแนกโครงสร้างและเนื้อหาสาระพระไตรปิฎก คำอธิบายโดยย่อของพระอรรถกถาจารย์ การรักษาสืบทอดโดยมุขปาฐะและลายลักษณ์อักษร ลำดับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ความเป็นมาของพระไตรปิฎก ในประเทศไทย และคุณค่าของพระไตรปิฎกพระไตรปิฎกที่มีต่อสังคมไทย
พุท ธะ ศิลปะ
|
ศึกษาความหมายและขอบข่ายของรัฐศาสตร์
หลักการตามแนวทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกศึกษาหลักการ รูปแบบและพุทธวิธีการบริหารของพระพุทธเจ้าเท่าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
หรือหลักธรรมผู้บริหาร เปรียบเทียบรัฐศาสตร์แนวพุทธกับรัฐศาสตร์ทั่วไปและสามารถนำเอาหลักการนั้นๆ
มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ศึกษาความหมายและขอบข่ายของเศรษฐศาสตร์ วิเคราะห์แนวคิดและทฤษฎีหลักทางเศรษฐศาสตร์ ที่ปรากฏในคำสอนทางพระพุทธศาสนา จริยธรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์แนวพุทธศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ทั่วไปรวมทั้งศึกษาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อให้นิสิตมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักพุทธธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาและหนังสือที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหลักพุทธธรรมที่สำคัญ
เช่น หลักอริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ขันธ์ ๕ ไตรลักษณ์ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ กรรม ๑๒ เป็นต้น
โดยใช้วิธีการศึกษาแบบลึกซึ้งทั้งในเชิงวิเคราะห์และการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
คำว่า ชาตก หรือ ชาดก แปลว่า ผู้เกิด มีรากคำมาจากธาตุ (Root) ว่า ชนฺ แปลว่า “เกิด” แปลง ชนฺ ธาตุเป็นชา ลง ต ปัจจัยในกิริยากิตก์ ต
ปัจจัยตัวนี้กำหนดให้แปลว่า “แล้ว” มีรูปคำเป็น “ชาต” แปลว่า เกิดแล้ว
เสร็จแล้วให้ลง ก ปัจจัยต่อท้ายอีกสำเร็จรูปเป็น “ชาดก”
อ่านออกเสียงตามบาลีสันสกฤตว่า “ชา-ตะ-กะ” แปลว่าผู้เกิดแล้ว
เมื่อนำคำนี้มาใช้ในภาษาไทย เราออกเสียงเป็น ชาดก โดยแปลง ต เป็น ด และให้ ก
เป็นตัวสะกดในแม่กก
ในความหมาย คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในชาติต่างๆ
ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้าง
แต่ก็ได้พยายามทำความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา
จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย กล่าวอีกอย่างหนึ่ง จะถือว่า เรื่องชาดก
เป็นวิวัฒนาการแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้ ในอรรถกถาแสดงด้วยว่า
ผู้นั้นผู้นี้กลับชาติมาเกิดเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้า
แต่ในบาลีพระไตรปิฎกกล่าวถึงเพียงบางเรื่อง เพราะฉะนั้น
สาระสำคัญจึงอยู่ที่คุณงามความดีและอยู่ที่คติธรรมในนิทานนั้นๆ
นัยยะหนึ่งชาดก จึงหมายถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้า
เมื่อครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์เสวยพระชาติต่างๆ เป็นมนุษย์บ้าง
อมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง สัตว์บ้าง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ผู้ใดจะทรงยกชาดก
ซึ่งเป็นนิทานอิงธรรมมาเล่าเป็นบุคคลาธิษฐาน
คือเป็นวิธีการสอนแบบยกเอาเรื่องราวนิทานมาประกอบ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย
แทนที่จะสอนธรรมะกันตรงๆ
เพื่อให้นิสิตมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ลักษณะ ขอบข่ายและวิธีการแสวงหาความจริงของ
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ โดยสามารถศึกษาวิเคราะห์ทฤษฎีวิวัฒนาการ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ และทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อพระพุทธศาสนา รวมทั้งเข้าใจถึงผลกระทบทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อโลกและพระพุทธศาสนา๑. เพื่อให้นิสิตรู้หลักพื้นฐาน การใช้เหตุผลและวิธีการทางคณิตศาสตร์
๒. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความรู้ทางตรรกศาสตร์ การเขียนสัญลักษณ์และการหาค่าความจริง
๓. เพื่อให้นิสิตรู้จักเซต การดำเนินการเซต จำนวนจริง สมการ อสมการ ค่าสัมบูรณ์ และการหาค่าตัวแปรในระบบจำนวน
๔. เพื่อให้นิสิตรู้จัก ความสัมพันธ์ ฟังก์ชั่น และการประยุกต์ใช้
๕. เพื่อให้นิสิตรู้จักแมตริกซ์ การดำเนินการ ดีเทอร์มิเนนซ์ อินเวอร์ส และการประยุกต์ใช้แมตริกซ์ศึกษาประวัติศาสนาพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ความสำคัญและลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา การแยกนิกายของพระพุทธศาสนา
การขยายตัวของพระพุทธศาสนาเข้าไปในนานาประเทศ
และอิทธิพลของพระพุทธศาสนาต่อวัฒนธรรมในประเทศนั้นๆ รวมทั้งศึกษาขบวนการและองค์การใหม่ๆ
ในวงการพระพุทธศาสนายุคปัจจุบันและอนาคต
ความหมายของระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ
(Ecosystem) เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง
ๆ กับบริเวณแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่
ระบบนิเวศนั้นเป็นแนวคิด
(concept) ที่นักนิเวศวิทยาได้นำมาใช้ในการมองโลกส่วนย่อย ๆ
ของโลกเพื่อที่จะได้เข้าใจความเป็นไปบนโลกนี้ได้ดีขึ้น
ระบบนิเวศหนึ่ง
ๆ นั้น ประกอบด้วยบริเวณที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่
และกลุ่มประชากรที่มีชีวิตอยู่ในบริเวณดังกล่าว พืชและโดยเฉพาะสัตว์ต่าง ๆ
ก็ต้องการบริเวณที่อยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยที่สุดที่เหมาะสม
ทั้งนี้เพื่อว่าการมีชีวิตอยู่รอดตลอดไป ยกตัวอย่างเช่น
สระน้ำแห่งหนึ่งเราจะพบสัตว์และพืชนานาชนิด
ซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับบริเวณน้ำที่มันอาศัยอยู่โดยมีจำนวนแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด
สระน้ำนั้นดูเหมือนว่าจะแยกจากบริเวณแวดล้อมอื่น ๆ ด้วยขอบสระ แต่ตามความเป็นจริงแล้วปริมาณน้ำในสระสามารถเพิ่มขึ้นได้
โดยน้ำฝนที่ตกลงมา ในขณะเดียวกันกับที่ระดับผิวน้ำก็จะระเหยไปอยู่ตลอดเวลา
น้ำที่ไหลเข้ามาเพิ่มก็จะพัดพาเอาแร่ธาตุและชิ้นส่วนต่าง ๆ
ของพืชที่เน่าเปื่อยเข้ามาในสระตัวอ่อนของยุงและลูกกบตัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในสระน้ำ แต่จะไปเติบโตบนบก
นกและแมลงซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกสระก็จะมาหาอาหารในสระน้ำ
การไหลเข้าของสารและการสูญเสียสารเช่นนี้จึงทำให้สระน้ำเป็นระบบเปิดระบบหนึ่ง
หากมีแร่ธาตุไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น
ก็จะทำให้การเจริญเติบโตของพืชเพิ่มมากขึ้น เช่น ไฟโตแพลงตันหรือพืชน้ำที่อยู่ก้นสระ
ปริมาณสัตว์จึงเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อปริมาณสัตว์เพิ่ม
ปริมาณของพืชที่เป็นอาหารก็จะค่อย ๆ น้อยลง ทำให้ปริมาณสัตว์ค่อย ๆ
ลดตามลงไปด้วยเนื่องจากอาหารมีไม่พอ
ดังนั้นสระน้ำจึงมีความสามารถในการที่จะควบคุมตัวของมัน (Self-regulation) เองได้ กล่าวคือ
จำนวนและชนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ในสระน้ำจะมีจำนวนคงที่
ซึ่งเราเรียกว่ามีความสมดุล
สระน้ำนี้
จึงเป็นหน่วยหนึ่งของธรรมชาติที่เรียกว่า "ระบบนิเวศ" (Ecosystem) ซึ่งกล่าวได้ว่าระบบนิเวศหนึ่ง ๆ นั้น
เป็นโครงสร้างที่เปิดและมีความสามารถในการควบคุมตัวของมันเอง
ประกอบไปด้วยประชากรต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ไร้ชีวิต
ระบบนิเวศเป็นระบบเปิดที่มีความสัมพันธ์กับบริเวณแวดล้อมโดยมีการแลกเปลี่ยนสาร
และพลังงาน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวชุมชนที่มีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ใช้ชีวิตนั้นรวมกันเป็นระบบนิเวศ
ระบบนิเวศอาจมีขนาดใหญ่ระดับโลก
คือ ชีวาลัย (biosphere) ซึ่งเป็นบริเวณที่ห่อหุ้มโลกอยู่และสามารถมีขบวนการต่าง
ๆ ของชีวิตเกิดขึ้นได้หรืออาจมีขนาดเล็กเท่าบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
แต่เราสามารถจำแนกระบบนิเวศออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ ดังนี้
1. ระบบนิเวศทางธรรมชาติและใกล้ธรรมชาติ (Natural
and seminatural ecosystems)
เป็นระบบที่ต้องพึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์
เพื่อที่จะทำงานได้
1.1 ระบบนิเวศแหล่งน้ำ (Aguative
cosystems)
1.1.1 ระบบนิเวศทางทะเล
เช่น มหาสมุทรแนวปะการัง ทะเลภายในที่เป็นน้ำเค็ม
1.2 ระบบนิเวศบนบก
(Terresttrial
ecosystems) 1.2.1 ระบบนิเวศกึ่งบก เช่น ป่าพรุ
1.2.2 ระบบนิเวศบนบกแท้
เช่น ป่าดิบ ทุ่งหญ้า ทะเลทราย
2. ระบบนิเวศเมือง-อุตสาหกรรม
(Urbanindustral
ecosystems) เป็นระบบที่ต้องพึ่งแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เช่น
น้ำมันเชื้อเพลิง พลังนิวเคลียร์ เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่
3. ระบบนิเวศเกษตร
(Agricultural
ecosystems) เป็นระบบที่มนุษย์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางธรรมชาติขึ้นมาใหม่
ในขณะที่โลกปัจจุบันกำลังเดินทางเข้าสู่ความสุดโต่ง (Extreme) ทั้ง
2 ด้าน คือ (1) ลัทธิทุนนิยม (Capitalism)
การลุ่มหลง มัวเมาอยู่ในวัตถุนิยม และบริโภคนิยม ภายใต้ บาทฐานของระบบทุนนิยม
จึงทำให้สังคมมนุษย์เปลี่ยนจากสังคมแห่งการแบ่งปันโน้มเอียง ไปสู่สังคมแห่งการแย่งชิง
โดยแย่งกันหากิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันสวาท และแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ เพื่อสนองกิเลสตัณหาอย่างไม่มีขีดจำกัด
(2) ลัทธิก่อการร้าย (Terrorism) เน้นพฤติการณ์รุนแรงซึ่งมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความกลัว
กระทำการเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนาการเมืองหรืออุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นการกระทำที่จงใจหรือไม่ใส่ใจต่อความปลอดภัยของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง (พลเรือน)
และกระทำโดยองค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐใดๆลัทธิที่ 2
เป็นปฏิกิริยาย้อนกลับเพื่อทิ่มแทงลัทธิที่ 1
อันเกิดมาจากความไม่พึงพอใจความคับแค้นใจ อันเนื่องมาจากการกินพื้นที่
และภาวะคุกคามของระบบทุนนิยม